รับรื้อถอนทุบตึก ออกแบบการรื้อถอนทุบตึกทุกรูปแบบ ทุกขนาด โดยทีมวิศวกรและช่างมืออาชีพประสบการณ์สูง ออกแบบให้คำแนะนำ รื้อถอนทุบตึก รื้อตึก ถอนตึก ทุบตึก พังตึก รื้อถอน ทุบบ้าน รื้อถอนอาคาร รื้อถอนภายใน รื้อโรงงาน รื้ออาคาร โรงงาน โกดัง พร้อมปรับพื้นที่ รวมถึงดูแล ซ่อมแซม ประเมินราคา ตามงบประมาณ รับประกันงานติดตั้ง ทุกพื้นที่ ทั่วจังหวัด ทั่วประเทศ ในราคาถูกที่เป็นกันเอง
- ทีมช่างมีประสบการณ์ตรง ด้านรื้อถอนทุบตึกมากกว่า 20 ปี
- เดินทางวัดหน้างานสำรวจเบื้องต้นฟรีทั่วจังหวัดเพื่อให้ลูกค้าได้รับ งานที่ตรงความต้องการก่อนตัดสินใจ
- รื้อตึก ถอนตึก ทุบตึก พังตึก ทุกขนาด เล็ก-ใหญ่
- รับรื้อถอนทุบตึก ทั่วประเทศ ในราคาถูกที่เป็นกันเอง
- ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง มีความแข็งแรง ทนทาน
- ราคาถูก รับประกันคุณภาพ พร้อมการบริการหลังการขาย
- บริการคุณภาพด้วย STD Serve รื้อถอนทุบตึก
พร้อมรับงานทุกขนาด งานบ้านทั่วไป งานโครงการ งานรับเหมา และอื่นๆ สนใจรื้อถอนทุบตึก ต้องที่ STD Serve รื้อถอนทุบตึก เท่านั้น
รับรื้อบ้าน
ดินถมที่” มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร?
การปรับพื้นที่ดินเพื่อการก่อสร้าง ถือเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างอาคารใด ๆ เพราะความแตกต่างของพื้นที่ ทำให้การถม การขุด เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ แต่เราใช้อะไรเป็นวัสดุที่นำมาถมที่ดินได้บ้าง และแต่ละแบบมีความต่างกันอย่างไร บทความนี้มีคำตอบมาฝากครับ โดยการเลือกวัสดุที่จะใช้ในการถมดินนั้น มีปัจจัยที่ต้องพิจารณาอยู่หลายปัจจัยดังนี้
1. การใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงที่จะถม
หากเป็นบ้านพักอาศัย แนะนำเป็นดินดำ หน้าดินหรือดินถมทั่วไป หากเป็นโรงงานหรือโรงเก็บวัสดุแนะนำเป็นดินลูกรัง ดินซีแลค ทราย หากเป็นพื้นที่เทปูนหรือลานคอนกรีตทั่วไปแนะนำเป็นหินคลุกหรือดินลูกรัง
2. ระยะเวลาในการปลูกสร้างหลังจากการถม
ระยะเวลาในการปลูกสร้างหลังจากการถม เช่น กรณีต้องการปลูกสร้างบ้านหากมีความจำเป็นต้องถมดินและปลูกสร้างเลยอาจต้องใช้ดินซีแลค หรือดินลูกรังซึ่งมีความแน่นสูง บดอัดได้ดีแต่มีราคาแพงกว่าดินถมทั่วไปเช่นกัน
3. งบประมาณในการถมดิน
หากมีงบประมาณจำกัดอาจใช้วิธีการถมดินล่วงหน้าก่อนปลูกสิ่งปลูกสร้างโดยใช้ดินถมที่มีความแน่นต่ำ ใช้เวลายุบตัวนานแต่ราคาถูกกว่า หรือใช้การถมดินเป็นชั้นๆ เพื่อประโยชน์ใช้สอยตามความจำเป็นเช่นดินลูกรังควรถมไม่น้อยกว่า 50 ซม. หินคลุกควรถมไม่น้อยกว่า 15 ซม. ขึ้นอยู่กับชั้นดินที่บดอัดอยู่ด้านล่าง การเลือกถมดินล่วงหน้าหรือบดถมดินแต่ละชนิดเป็นชั้นๆจะทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
4. ระดับและพื้นที่เดิมก่อนการถมดิน
ระดับและพื้นที่เดิมก่อนการถมดิน มีส่วนในการเลือกวัสดุ และวิธีการ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการถมดิน เช่นพื้นที่เดิมเป็นบ่อน้ำแอ่งน้ำหรือพื้นที่เดิมมีระดับต่ำมากๆ อาจต้องมีการสูบน้ำออกไปก่อน การเคลียร์เศษวัสดุในพื้นที่เดิม การถมดินและบดอัดเป็นชั้นๆซึ่งเป็นปัจจัยในการเลือกชนิดของดินถมและวิธีการถมดินแต่ละวิธีการล้วนมีผลในภายหลังด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้หากเลือกวัสดุและวิธีการที่ถูกต้องก็จะเกิดผลดีในระยะยาว
รู้ก่อนสร้าง...เตรียมพื้นที่อย่างไร ป้องกันโพรงใต้บ้านระยะยาว
1. การถมดินก่อนสร้าง ป้องกันโพรงใต้บ้าน
การถมดินนอกจากจะเป็นการยกระดับความสูงของพื้นที่เพื่อป้องกันน้ำท่วม หรือการวางท่อระบายน้ำภายในบ้านให้อยู่สูงกว่าถนนแล้ว ยังเป็นการช่วยเร่งการทรุดตัวของพื้นดินเดิม เนื่องจากมีน้ำหนักไปกดทับพื้นดินเดิมที่ยังไม่แน่นดีให้ยุบตัวลงไปเร็วขึ้น
ทั้งนี้การสร้างบ้านบนที่ดินเปล่า จะลดปัญหาการเคลียร์พื้นที่ และมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ซึ่งเจ้าของบ้านควรให้ความสำคัญกับการปรับระดับพื้นที่ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ คือ
1.1 ลักษณะพื้นที่ที่จะถมดิน
ควรตรวจสอบลักษณะพื้นที่เบื้องต้น เพื่อประกอบการกำหนดระดับความสูงของดินที่จะถม
สังเกตต้นไม้ที่ขึ้นในที่ดินแปลงนั้น
ต้นกระถินหรือมะขามเทศ แสดงว่าพื้นดินบริเวณนั้นแห้ง
ต้นกก อ้อ ธุปฤาษี แสดงว่าเป็นพื้นที่บริเวณนั้นมีความชื้นแฉะสูง สภาพดินมีความอ่อนตัว
สอบถามสภาพพื้นที่จากผู้อยู่อาศัยบริเวณนั้น เช่น การเกิดน้ำท่วม มีความสูงเท่าไร ใช้เวลาแห้งนานแค่ไหน หรือพื้นที่มีน้ำท่วมขังตลอดหรือไม่ เพราะจะส่งผลให้ดินมีความอ่อนตัวสูง และแปรสภาพเป็นดินโคลนหรือเลน หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้มีค่าถมที่สูง ใช้เวลาให้ดินแน่นนาน เพราะการเผื่อค่ายุบตัวของดินก็จะถูกประเมินสูงกว่าที่ดินที่มีสภาพแห้งกว่า
1.2 ความสูงของพื้นที่ที่จะถม
การถมที่ดินนั้นจะต้องมีการกำหนดระยะความสูงของดินที่จะถม ซึ่งควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับของพื้นถนน ระดับของพื้นที่ปกติที่น้ำท่วมถึง ความสูงของบ้านหลังอื่นๆ หรือพื้นที่ดินเปล่า ซึ่งในอนาคตอาจมีสิ่งก่อสร้างเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะถูกถมที่ให้สูงกว่าเดิมด้วย
โดยทั่วไป การถมที่ดินจะให้มีความสูงกว่าถนนประมาณ 50-80 เซ็นติเมตร หรือบางพื้นที่ที่อาจต้องถมดินให้สูงถึง 1 เมตร เพื่อเผื่อไว้สำหรับการยุบตัวของดินในอนาคต
1.3 ระยะเวลาการทิ้งพื้นที่ไว้
สำหรับบ้านที่ถมดินเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรดำเนินการสร้างบ้านทันที ทิ้งระยะเวลาให้ผ่านไประยะหนึ่ง เพื่อให้หน้าดินมีการเซตตัวและไม่เกิดการทรุดตัวมากในระยะยาว
การถมดินยิ่งสูงจากระดับเดิมมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสทรุดตัวได้มากเท่านั้น ดังนั้นจึงควรถมทิ้งไว้ก่อนสร้างบ้าน 6 – 12 เดือน หรือหากมีเวลาน้อยอาจใช้ใช้รถบดอัดดินช่วยร่นเวลา หรือจะทั้งทิ้งระยะเวลา และบดอัดไปด้วยก็ยิ่งได้ผลดี
ข้อควรคำนึงในการถมที่ดิน
สำหรับบ้านที่สร้างจากพื้นที่เดิมที่อาจมีการทุบหลังเก่าสร้างหลังใหม่ เมื่อมีการถมที่เพิ่มเติมอาจมีการใช้เศษอิฐ เศษคอนกรีต จากการทุบหลังเก่ามาถมที่ดิน ซึ่งกรณีนี้จะทำให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของดินมากกว่าปกติ เนื่องจากเศษวัสดุเหล่านั้นจะไม่ผสมเป็นเนื้อเดียวกับดิน มีการเกยกันเป็นเป็นช่องว่าง และเมื่อระยะเวลาผ่านไปหากมีน้ำซึมผ่านจะพาดินไหลลงมาแทนที่ช่องว่าง ทำให้เกิดการทรุดตัวเป็นหลุมหรือโพรงใต้บ้านได้
การถมดินหากเลือกระยะเวลาได้ ควรดำเนินการในช่วงหน้าฝน เพราะน้ำฝนที่ไหลแทรกระหว่างเนื้อดินจะเป็นตัวช่วยให้ดินยุบตัวและแน่นขึ้น
2. การวางฐานโครงสร้างตั้งแต่เริ่มต้น
การป้องกันดินทรุดตัวจนเกิดโพรงใต้บ้านนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการมีเสาเข็มรองรับน้ำหนัก ซึ่งโดยทั่วไปโครงสร้างบ้านจะถูกกำหนดให้มีเสาเข็มยาวลึกลงไปถึงชั้นดินดานหรือชั้นทรายเฉลี่ยประมาณ 18 - 21 เมตร ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์หาค่าสมบัติทางวิศวกรรมของชั้นดิน ซึ่งจะถูกนำมา คำนวณออกแบบความสามารถการรับน้ำหนักบรรทุกของชั้นดินได้อย่างถูกต้องตามหลักวิศวกรรมมากที่สุด เพื่อรองรับน้ำหนักตัวบ้านไว้
ข้อควรคำนึงในการวางเสาเข็ม
พื้นที่ดินบางแปลงอาจเคยเป็นบ่อ หนอง คลอง บึง หรือบ่อทิ้งขยะเก่า การก่อสร้างบ้านบริเวณนี้ควรมีการเจาะสำรวจชั้นดิน ไม่ควรใช้วิธีเทียบเคียงจากพื้นที่ข้างๆ เนื่องจากความลึกของเสาเข็มอาจไปอยู่ตำแหน่งตรงกับบ่อขยะเก่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปขยะมีการย่อยสลาย จะทำให้เสาเข็มทรุดตัวได้
การเตรียมพื้นที่ให้พร้อมก่อนสร้างบ้านเป็นสิ่งสำคัญ หากเจ้าของบ้านมีการเตรียมพร้อมในส่วนของที่ดินตั้งแต่เนิ่นๆ และมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา และแนะนำอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร สถาปนิก หรือผู้ให้บริการบริษัทรับสร้างบ้าน จะช่วยให้การวางรากฐานสำหรับการสร้างบ้านนั้นมีมาตรฐานและแข็งแรงยิ่งขึ้น